ใน 3 ตัวเลือกในรูปนี้ คนส่วนใหญ่คงเลือกตอบข้อ 1 หรือ 2 คาดไม่ถึงว่าคําตอบที่ถูกต้องคือข้อ 3
ซึ่งไม่ได้บอกวิธีแก้ปัญหาอะไรเลย แค่ถามไปเฉยๆ
.

ทําไมคําตอบข้อ 1 จึงใช้ไม่ได้
แต่การละทิ้งงานโดยอ้างเหตุผลว่าไม่ชอบคนนั้นคนนี้เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้
ในการทำงานแม้มีคนที่ไม่ชอบ พนักงานต้องพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อให้เกิดความร่วมมือซึ่งกันและกันเป็นสิ่งจําเป็น
แต่ต้องระวังว่าบางครั้งทฤษฎีที่ถูกต้องอาจทําร้ายจิตใจ เมื่อพนักงานรุ่นน้องได้ฟังทฤษฎีที่ถูกต้องต่อหน้า อาจเกิดความรู้สึกแบบนี้
”ไอ้เรื่องไม่ควรทํางานด้วยความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบนั้น ฉันรู้อยู่แล้ว
ไม่ต้องบอกหรอก ถ้าอย่างนั้น แม้จะเล่าอะไรให้คนคนนี้ฟัง
เขาก็คงไม่เข้าใจความรู้สึกของฉันแน่ๆ„
เมื่อรุ่นน้องตกอยู่ในสภาพนี้เขาก็คงปิดใจและไม่คิดจะปรึกษารุ่นพี่อีกการเห็นว่าความคิดเห็นของตัวเองถูกต้องจึงต้อนอีกฝ่ายหนึ่งให้จนมุมด้วยการยกทฤษฎีที่โต้แย้งไม่ได้นั้น ใช่ว่าจะเป็นวิธีสื่อสารที่ถูกต้องเสมอไป
*ยิ่งเป็นคนที่เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองยิ่งต้องระวังเรื่องนี้ให้มาก
.
แม้บอกวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดให้แต่รุ่นน้องก็จะรู้สึกค้างคาใจอยู่บ้างว่า
”คนคนนี้รู้หรือเปล่าว่าจริงๆแล้วปัญหาคืออะไร„
คนที่มาปรึกษาส่วนใหญ่จะมาในสภาพเปิดใจแล้วครึ่งหนึ่ง และพร้อมจะลองเชิงอีกฝ่ายว่าเข้าใจความรู้สึกของตนเองหรือเปล่า
#ถ้าคุณยัดเยียดทฤษฎีที่ถูกต้องหรือวิธีแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมโดยไม่แสดงท่าทางเข้าใจความรู้สึกของผู้มาปรึกษาเลย เขาจะปิดรับ ทําให้แม้คุณจะให้คําแนะนําที่มีประโยชน์สักแค่ไหน เขาก็ไม่นําไปปฏิบัติเลย
.
คุณควรแสดงออกว่า คุณรับฟังทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้อีกฝ่ายยอมเปิดใจ เมื่อเขาเปิดใจยอมรับคุณแล้ว ค่อยให้คําแนะนําใหม่อีกครั้ง
.

คําตอบข้อ 3 ”ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย คุณมีปัญหาอะไรกับคุณ...เหรอ„
เป็นคำตอบที่เหมาะสมที่สุด เพราะแสดงเจตนาให้อีกฝ่ายเล่าเหตุการณ์ด้วยการตั้งคําถาม ถ้าคุณแสดงออกว่าตั้งใจรับฟัง เขาก็จะเปิดใจเล่าปัญหาโดยไร้ความกังวล เมื่อสร้างความไว้วางใจกันได้แล้ว จึงค่อยให้คําแนะนําก็ยังไม่สาย
.
ดังนั้นจึงขอสรุปว่า เมื่อมีคนที่ทำงานมาขอคำปรึกษาจากคุณ และคุณรู้วิธีแก้ปัญหาหรือมีความคิดที่เป็นประโยชน์ อย่าเพิ่งใจร้อนรีบบอกอีกฝ่าย แต่ควรรับฟังเรื่องของคู่สนทนาก่อน
.

องค์ความรู้ข้างต้นนี้เป็นหนึ่งในหลายเกร็ดความรู้จากหนังสือ "เคี่ยวคน 5 % เห็นผลทั้งองค์กร"

หนังสือเล่มนี้ต้องการนำเสนอให้เห็นว่า ในองค์กรขนาดใหญ่ การจูงใจพนักงานทั้งหมดให้เห็นดีเห็นงามไปในทิศทางเดียวกันเป็นเรื่องยาก
แต่หากคุณรู้จักกลยุทธ์การจูงใจคนแค่ 5% จะใช้เวลาไม่นานเลย
เพราะพวกเขาจะแผ่อิทธิพลออกไปครอบคลุมคนทั้งหมดในองค์กรอย่างเป็นธรรมชาติ และพาองค์ไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
เล่มนี้เขียนโดย ฮาเซงาวะ คะซุฮิโระ (Hasegawa Kazuhiro) ปรมาจารย์นักบริหารผู้ที่เคยจูงใจคนใน 2,400 บริษัทและพลิกวิกฤตขาดทุนให้กลับมามีกำไร
.